7 เทคนิคการตั้งราคา ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบในตลาด

เทคนิคการตั้งราคา กลยุทธ์เพิ่มยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ

การตั้งราคาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ หากตั้งราคาถูกเกินไป อาจทำให้กำไรลดลง แต่หากตั้งราคาแพงเกินไป อาจทำให้ลูกค้าหันไปหาคู่แข่ง ดังนั้น การกำหนดราคาจึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับประเภทของสินค้าและพฤติกรรมของตลาด บทความนี้จะแนะนำ 7 เทคนิคการตั้งราคา ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

การตั้งราคาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ หากตั้งราคาถูกเกินไป อาจทำให้กำไรลดลง แต่หากตั้งราคาแพงเกินไป อาจทำให้ลูกค้าหันไปหาคู่แข่ง ดังนั้น การกำหนดราคาจึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับประเภทของสินค้าและพฤติกรรมของตลาด บทความนี้จะแนะนำ 7 เทคนิคการตั้งราคา ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

7 เทคนิคการตั้งราคา ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบในตลาด

1. กลยุทธ์ราคาต่ำสุดเพื่อครองตลาด

Cost Leadership Strategy เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการตั้งราคาต่ำกว่าคู่แข่งเพื่อดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตสูง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่มีอัตราการหมุนเวียนของสินค้าสูง

  • ข้อดี: สามารถสร้างฐานลูกค้าได้รวดเร็ว และเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง
  • ข้อเสีย: กำไรต่อหน่วยต่ำ ธุรกิจต้องขายในปริมาณมากเพื่อให้คุ้มทุน

ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกเช่น Lotus’s ใช้กลยุทธ์นี้ในการเสนอราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าจำนวนมาก

2. ตั้งราคาเป็นชุดเพื่อเพิ่มมูลค่า

Product Set Pricing เป็นกลยุทธ์ที่ใช้การตั้งราคาสินค้าเป็นชุด เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ามากกว่าการซื้อสินค้าแยกชิ้น เหมาะกับธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้าปลีก และธุรกิจบริการ

  • ข้อดี: ช่วยกระตุ้นยอดขาย และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
  • ข้อเสีย: ต้องคำนวณต้นทุนอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าได้กำไร

ตัวอย่าง: ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น McDonald’s และ KFC ใช้กลยุทธ์การขายเป็นเซ็ตเมนู เช่น ชุดเบอร์เกอร์ + เฟรนช์ฟรายส์ + เครื่องดื่ม ที่มีราคาถูกกว่าการซื้อแยก

3. ปรับราคาตามฤดูกาล

Seasonal Pricing เป็นการตั้งราคาให้สอดคล้องกับช่วงเวลาและเทศกาลที่สินค้าหรือบริการมีความต้องการสูง เหมาะกับธุรกิจที่มีอิทธิพลจากปัจจัยตามฤดูกาล เช่น โรงแรม สินค้าแฟชั่น และธุรกิจท่องเที่ยว

  • ข้อดี: สามารถเพิ่มกำไรสูงสุดในช่วงที่มีความต้องการมาก
  • ข้อเสีย: ต้องมีการบริหารสต็อกสินค้าและแผนการผลิตที่แม่นยำ

ตัวอย่าง: ราคาห้องพักโรงแรมจะสูงขึ้นในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว หรือสินค้าแฟชั่นฤดูหนาวจะมีราคาสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว

4. แจกสินค้าฟรีเพื่อกระตุ้นยอดขาย

The Cost of the Zero Cost คือกลยุทธ์ที่ให้สินค้าฟรีเมื่อซื้อสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย และสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าเพิ่ม

  • ข้อดี: สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ และเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์
  • ข้อเสีย: กำไรต่อหน่วยลดลง หากคำนวณต้นทุนไม่ดี

ตัวอย่าง: ร้านเครื่องสำอางมักใช้กลยุทธ์นี้ เช่น “ซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท รับผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองฟรี” หรือ “ซื้อกาแฟ 2 แก้ว แถมฟรี 1 แก้ว”

5. Competitive Pricing: การตั้งราคาเทียบเคียงกับคู่แข่ง

Competitive Pricing เป็นกลยุทธ์ที่ตั้งราคาใกล้เคียงกับคู่แข่ง เหมาะกับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือธุรกิจบริการ

  • ข้อดี: สามารถดึงดูดลูกค้าจากคู่แข่งได้ง่าย
  • ข้อเสีย: อาจเกิดสงครามราคาที่ทำให้กำไรลดลง

ตัวอย่าง: ร้านสะดวกซื้อเช่น 7-Eleven และ FamilyMart ตั้งราคาสินค้าใกล้เคียงกันเพื่อแข่งขันกันดึงดูดลูกค้า

6. Decoy Pricing: การสร้างตัวเลือกที่ทำให้สินค้าหลักน่าสนใจขึ้น

Decoy Pricing เป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มตัวเลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติด้อยกว่าหรือราคาสูงเกินไป เพื่อทำให้สินค้าที่ต้องการขายดูคุ้มค่าขึ้น เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าหลายรุ่น เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์

  • ข้อดี: กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่แบรนด์ต้องการโปรโมต
  • ข้อเสีย: อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีเจตนาแอบแฝง

ตัวอย่าง: Apple ใช้กลยุทธ์นี้โดยการตั้งราคาสำหรับ iPhone รุ่นพื้นฐานให้แตกต่างจากรุ่น Pro เพียงเล็กน้อย ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการเพิ่มเงินเพื่ออัปเกรดเป็นรุ่นที่สูงกว่าคุ้มค่ามากกว่า

7. Value-Based Pricing: ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ

Value-Based Pricing เป็นการตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ มากกว่าต้นทุนที่แท้จริง เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่มีความแตกต่างและมูลค่าสูง เช่น แบรนด์หรู หรือสินค้าไฮเทค

  • ข้อดี: สามารถสร้างภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม และเพิ่มความภักดีของลูกค้า
  • ข้อเสีย: อาจตั้งราคาสูงเกินไปจนลูกค้าบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงได้

ตัวอย่าง: แบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น Louis Vuitton และ Rolex ตั้งราคาสินค้าสูงกว่าคู่แข่ง เพื่อสะท้อนคุณค่าของแบรนด์และสถานะทางสังคมของผู้ใช้

สรุป: กลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

Cost Leadership Strategy – เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเจาะตลาดด้วยราคาต่ำ
Product Set Pricing – ใช้สำหรับกระตุ้นยอดขายด้วยแพ็กเกจโปรโมชั่น
Seasonal Pricing – เหมาะกับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากฤดูกาล
The Cost of the Zero Cost – ใช้เป็นกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าใหม่
Competitive Pricing – เหมาะกับตลาดที่มีการแข่งขันสูง
Decoy Pricing – ช่วยเพิ่มอัตราการขายสินค้าที่ต้องการโปรโมต
Value-Based Pricing – เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการขายสินค้าในราคาสูงโดยเน้นคุณค่า

การตั้งราคาที่ดีต้องคำนึงถึง ต้นทุน ความต้องการของลูกค้า และการแข่งขันในตลาด เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างกำไร และเติบโตได้อย่างยั่งยืน


 

Comment Box

บทความดีๆที่แนะนำ

โรงงานที่มีบริการพิมพ์ ถุงกระดาษแบบงานเร่งด่วน กำลังเป็...

ช่วงนี้ ป้ายธงญี่ปุ่น ติดกระแสยอดฮิต ไม่ว่าจะมองไปทางไห...

ปลอกสวมแก้วกาแฟ Cup Sleeve สายคาดแก้วชานม สามารถผลิตได้...

KOL หรือ Key Opinion Leader หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า ผู...

สมัครงาน กับ Tumtook

กรอกข้อมูลให้สมบูรณ์