การตั้งราคาสินค้าเป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์ทางธุรกิจและความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้ม “ชอบต่อราคา” การกำหนดราคาที่เหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ยังรักษาผลกำไรไว้ได้ หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การใช้ตัวเลขคี่ เช่น 5, 7 หรือ 9 ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า บทความนี้จะเจาะลึกถึง พฤติกรรมของลูกค้าที่ชอบต่อราคา และแนวทางในการตั้งราคาสินค้าเพื่อรับมือกับลูกค้ากลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมลูกค้าชอบต่อราคา?
การต่อราคาเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในตลาด โดยเฉพาะในสินค้าที่มีความยืดหยุ่นด้านราคา เช่น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือสินค้าทั่วไปที่จำหน่ายในตลาดสดและร้านค้าออฟไลน์ สาเหตุที่ลูกค้าชอบต่อราคา มักมาจากปัจจัยต่อไปนี้
- มองหาความคุ้มค่า – ลูกค้าหลายคนเชื่อว่าการได้ส่วนลดหรือราคาที่ต่ำกว่าป้ายราคาจะทำให้พวกเขารู้สึก “คุ้มค่ามากขึ้น”
- เชื่อว่าราคาสินค้าไม่ได้ตายตัว – ลูกค้าหลายคนมองว่าผู้ขายสามารถลดราคาได้ และพวกเขามีโอกาสที่จะได้รับดีลที่ดีกว่า
- พฤติกรรมที่ฝังรากลึก – บางวัฒนธรรมมีการต่อรองราคาเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในตลาดสดหรือร้านค้าที่ไม่มีราคาตายตัว
เทคนิคการตั้งราคาสำหรับลูกค้าที่ชอบต่อรอง
เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรับมือกับพฤติกรรมการต่อราคาของลูกค้าได้ดีขึ้น ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้
1. การตั้งราคาด้วยตัวเลขคี่ (Odd Pricing Strategy)
จากการศึกษาทางจิตวิทยาผู้บริโภค ตัวเลขคี่ เช่น 5, 7 หรือ 9 สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้นกว่าตัวเลขกลม เช่น 100 หรือ 500 เพราะตัวเลขคี่ทำให้ราคาดูคุ้มค่ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น
- สินค้าราคา 499 บาท ดูเหมือนจะถูกกว่าราคา 500 บาท อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะต่างกันเพียง 1 บาท
- การตั้งราคา 1,497 บาท แทนที่จะเป็น 1,500 บาท ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้ามีราคาถูกกว่า
การใช้ตัวเลขคี่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาถูกกว่าความเป็นจริง ทำให้พวกเขาต่อรองน้อยลง และช่วยเพิ่มอัตราการตัดสินใจซื้อได้
2. การตั้งราคาสูงกว่าต้นทุน เพื่อเผื่อส่วนลด
เมื่อลูกค้าส่วนใหญ่ชอบต่อรอง ธุรกิจสามารถกำหนดราคาสินค้าให้สูงขึ้นเล็กน้อยจากราคาที่ตั้งไว้ แล้วเสนอส่วนลดเพื่อสร้างความรู้สึกว่าลูกค้าได้รับข้อเสนอที่ดี ตัวอย่างเช่น
- หากต้องการขายสินค้าในราคา 900 บาท อาจตั้งราคาไว้ที่ 990 บาท และเสนอส่วนลดพิเศษให้ลูกค้าต่อรองเหลือ 900 บาท วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับดีลที่คุ้มค่า
3. การใช้กลยุทธ์ “ราคาต่อรองไม่ได้” แต่เสนอคุณค่าเพิ่มเติม
หากธุรกิจไม่ต้องการให้ลูกค้าต่อรอง สามารถใช้กลยุทธ์ “ราคาตายตัว” พร้อมเสนอคุณค่าเพิ่มเติม เช่น
- ของแถมหรือบริการเสริม เช่น “ซื้อครบ 1,000 บาท แถมของขวัญพิเศษ”
- โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะช่วงเวลา เช่น “ซื้อวันนี้ลดพิเศษ 5% ทันที”
กลยุทธ์นี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่จำเป็นต้องต่อรอง
4. การใช้จิตวิทยา “ราคากล่อมใจ”
อีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถลดโอกาสที่ลูกค้าจะต่อรอง คือการใช้ “ราคากล่อมใจ” ซึ่งหมายถึงการตั้งราคาให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองมีอำนาจต่อรอง เช่น
- ตั้งราคาเป็น 1,250 บาท แทนที่จะเป็น 1,200 บาท เพราะลูกค้าอาจขอต่อรองลดลงมาเหลือ 1,200 บาท ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงราคาที่ธุรกิจต้องการ
การตั้งราคาที่ดีช่วยลดการต่อรองและเพิ่มยอดขาย
เมื่อลูกค้ามีแนวโน้มที่จะต่อราคา การตั้งราคาด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด สามารถช่วยลดแรงกดดันในการต่อรอง และทำให้ธุรกิจยังคงได้กำไรในระดับที่เหมาะสม กลยุทธ์ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ได้แก่
- การใช้ ตัวเลขคี่ เช่น 5, 7 หรือ 9 เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
- การตั้งราคา เผื่อส่วนลด เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาได้ต่อรองและได้รับข้อเสนอที่ดี
- การเสนอ โปรโมชั่นเสริมแทนการลดราคา เพื่อเพิ่มคุณค่าให้สินค้า
- การใช้ ราคากล่อมใจ ให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาเป็นฝ่ายชนะในการต่อรอง
ด้วยการนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับพฤติกรรมของลูกค้าที่ชอบต่อราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษากำไรพร้อมเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว
อย่ารอช้า! สนใจผลิตอุปกรณ์ออกบูธ และกล่องแพคเกจจิ้ง ติดต่อโรงพิมพ์ Tumtook ได้เลยทันที!
คลิ๊ก >> Tumtook.com/Addline
Add Line : @Tumtook
